บทที่5 เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
*ความเป็นอิสระในการพูดโดยปราศจากการตรวจสอบและการจัดการ
*ความเป็นไปได้ที่จะทำการใดๆ
ตามที่ตนเองต้องการ
*จัดเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ชนที่พึงมี
*ในหลายประเทศได้มีการกำหนดกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนไว้อย่างชัดเจนดังนั้นประชาชนจึงสามารถแสดงออกทางความคิดในลักษณะต่างๆได้อย่างอิสระ
*แต่ในบางประเทศ
เช่น ประเทศไทย จะมีข้อยกเว้นว่าสามารถจำกัดเสรีภาพได้โดยใช้อำนาจของกฎหมาย
*แต่ยังมีบางประเทศ
เช่น ประเทศจีน
ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในแง่ของการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็นของประชาชน
กฎหมายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
กฎหมายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล
ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 หมวดที่3
“สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย” ส่วนที่7
“สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน
*มาตรา 45 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น
*มาตรา 46 พนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์วิทยุกระจายเสียง
วิทยุโทรทัศน์ หรือสื่อมวลชนอื่น ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าว
และแสดงความคิดเห็นภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญ
*มาตรา 47 คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง
วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ
*มาตรา 48 ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์
วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคมมิได้
ไม่ว่าในนามของตนเองหรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นแทน หรือจะดำเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมที่สามารถบริหาร
กิจการดังกล่าวได้ในทำนองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการ
ดังกล่าว
ความคิดเห็นที่กฎหมายไม่คุ้มครอง
1.คำลามกอนาจาร
2.คำใส่ร้ายป้ายสี
3.คำยั่วยุให้เกิดความกลัว
4.คำยั่วยุให้มีการก่ออาชญากรรม
5.คำดูถูกเหยียดหยาม
6.คำปลุกปั่นก่อให้เกิดความไม่สงบ
ประเด็นด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
*การปกปิดชื่อจริง
-การแสดงความคิดเห็นโดยไม่เปิดเผย
-การปกปิดตัวตนที่แท้จริงได้
*ระบบส่งอีเมล์นิรนาม
(Anonymous remailer)
-เป็นโปรแกรมที่จะทำการปลดที่อยู่อีเมล์จริงของผู้ส่งออก
แล้วแทนที่ด้วยที่อยู่นิรนาม
-วิธีการนี้จะทำให้ไม่สามารถทราบอีเมล์ของผู้ส่งได้
-การใช้ระบบอีเมล์นิรนามในทางที่ผิด ก่อให้เกิดความเดือดร้อนได้
*การแสดงข้อความหมิ่นประมาท
-เป็นการใส่ความผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติยศ
-ในประเทศไทย
ประมวลกฎหมายอาญา ได้ระบุความผิดจากการหมิ่นประมาทไว้ในภาค2 “ความผิด” ลักษณะ 11 “ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง” หมวด3 “ความผิดฐานหมิ่นประมาท”
*การแสดงความคิดเห็นใดๆ
ก็พึงระวังให้การแสดงความคิดเห็นเป็นไปโดยชอบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ.2550
*โดยคำนึงว่าความคิดเห็นที่แสดงออกไปนั้น
โดยเฉพาะที่แสดงผ่านทางเว็บไซต์ ควรงดเว้นการใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น
กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
*การโพสต์แสดงความคิดเห็นพาดพิงถึงบุคคลอื่นบนเว็บไซต์โดยไม่ระวัง
อาจทำให้ได้รับความเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยไม่ทันตั้งตัวเนื่องจากโพสต์แสดงความคิดเห็นในลักษณะนี้
-นาง ข. ด่าผู้อื่นว่ารับสินบน, โกงกิน ,รับส่วยใต้โต๊ะ, ประพฤติตนไม่สุจริต
เป็นต้น
-นาย ค. หรือ นาง ง.ด่าว่าคู่สมรสว่ามีชู้หรือมีเมียน้อย
,
ด่าว่าขายบริการทางเพศ
-นาย จ. โพสต์แสดงความคิดเห็นในแง่ร้ายด่า นาง ฉ. แม้ว่าไม่ได้ใส่ชื่อนาง ฉ. ลงไปตรงๆ ถ้ามีผู้ใดเข้ามาอ่านสามารถเข้าใจได้ว่า ข้อความดังกล่าวหมายถึง
นาง ฉ. ก็เป็นความผิด
*กฎหมายได้กำหนดให้
การโพสต์ข้อความอันเข้าข่ายหมิ่นประมาทนั้น
อาจเสี่ยงที่จะเป็นความผิดกฎหมายทั้งทางแพ่งและทางอาญาใน 3
มาตราดังนี้
1) ประมวลอาญา มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม
โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือ ถูกเกลียดชัง
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท
2)
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์
ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใดๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ
หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ
หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท
3) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 “ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง
เป็นที่เสียหาย แก่ชื่อเสียง หรือเกียรติคุณ ของบุคคลอื่น ก็ดี หรือ เป็นที่เสียหาย
แก่ทางทำมาหาได้ หรือ ทางเจริญของเขา โดยประการอื่น ก็ดี
ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหาย อย่างใดๆ
อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้
ผู้ใด ส่งข่าวสาร
อันตนมิได้รู้ว่า เป็นความไม่จริง หากว่า ตนเอง หรือ ผู้รับข่าวสารนั้น
มีทางได้เสีย โดยชอบ ในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารนั้น มีทางได้เสีย
โดยชอบ ในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่า เพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้น หาทำให้ผู้นั้น
ต้องรับผิด ใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่”
*สรุปได้ว่าการโพสต์ข้อความละเมิดผู้อื่นบนเว็บไซต์สามารถเข้าข่ายมีความผิด
ฐานหมิ่นประมาทได้ ผู้โพสต์จึงอาจเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทางศาล
และถูกตัดสินให้ต้องรับผิดตามการพิจารณาของศาลได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น